วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บทที่ 14 การจัดการลูกหนี้และสินค้าคงเหลือ


การจัดการลูกหนี้  (Accounts Receivable Management)
                โดยทั่วไปของบริษัทมักมีวัตถุประสงค์การดำเนินงานเพื่อขายสินค้าหรือบริการ  ซึ่งการขายสินค้าหรือบริการเป็นเงินเชื่อจะทำให้บริษัทมีบัญชีลูกหนี้เพิ่มขึ้น  ดังนั้นการขายสินค้าเป็นเงินเชื่อนั้นควรมีวิธีการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพ  ไม่เช่นนั้นอาจทำให้บริษัทเกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องได้  ซึ่งสิ่งนี้จะมีผลต่อมูลค่าของบริษัทด้วย
ขนาดการลงทุนในลูกหนี้
ปัจจัยที่กำหนดขนาดของการลงทุนในลูกหนี้ มีดังนี้
1. เปอร์เซ็นต์ของการขายเชื่อ
เปอร์เซ็นต์ของการขายเชื่อต่อยอดขายรวมของบริษัทจะมีผลต่อระดับของลูกหนี้
                -  ถ้าบริษัทมีอัตราส่วนการขายเชื่อสูง ก็จะทำให้มีลูกหนี้สูงด้วย
                -  ถ้าบริษัทมีอัตราส่วนการขายเชื่อต่ำ ก็จะทำให้มีลูกหนี้ต่ำด้วย
ซึ่งทั่วไปแล้วประเภทของการประกอบธุรกิจจะเป็นตัวกำหนดระดับการขายเชื่อของสินค้า
เช่น  -  ธุรกิจค้าปลีก : มักขายสินค้าเป็นเงินสด  ดังนั้นระดับการขายเชื่อจะต่ำ
        -  ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง : มักมีการขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ ดังนั้นระดับการขายเชื่อจะสูง
2.ระดับของยอดขาย
       ระดับของยอดขายจะเป็นตัวกำหนดขนาดการลงทุนในลูกหนี้  คือ
                -  ถ้ายอดขายสูง บริษัทก็จะมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในลูกหนี้สูงตามไปด้วย
                -  ถ้ายอดขายต่ำ บริษัทก็จะมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในลูกหนี้ต่ำตามไปด้วย
3.นโยบายสินเชื่อและการจัดเก็บเงิน
       นโยบายสินเชื่อและการจัดเก็บเงินมีผลต่อขนาดการลงทุน คือ
                - ถ้าบริษัทมีนโยบายการให้สินเชื่อและการจัดเก็บเงินแบบผ่อนปรน จะทำให้บริษัทมีลูกหนี้สูง
                - ถ้าบริษัทมีนโยบายการให้สินเชื่อและการจัดเก็บเงินแบบเข้มงวด               จะทำให้บริษัทมีลูกหนี้ต่ำ
การตัดสินใจเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ จะประกอบด้วย
1.เงื่อนไขการขาย (Terms of Sale)
                เงื่อนไขการขายจะแสดงถึงระยะเวลาการให้ส่วนลดและระยะเวลาการให้สินเชื่อ  โดยในกรณีที่ลูกหนี้ไม่รับส่วนลดเงินสดนั้นจะทำให้ลูกหนี้เกิดต้นทุนขึ้น
2.ประเภทของลูกค้า (Type of Customer)
                ในการพิจารณาว่าลูกค้าควรได้รับสินเชื่อจากบริษัทหรือไม่นั้น  บริษัทจะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น  สภาพคล่อง  และความสามารถในการทำกำไรของลูกหนี้  โดยถ้า
-บริษัทให้สินเชื่อกับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ  ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้จะสูงขึ้น  ทำให้เกิดต้นทุนการจัดเก็บหนี้ และต้นทุนการผิดนัดการชำระหนี้สูงด้วย
-บริษัทให้สินเชื่อกับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือสูง  ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้จะต่ำขึ้น  ทำให้เกิดต้นทุนการจัดเก็บหนี้ และต้นทุนการผิดนัดการชำระหนี้ต่ำด้วย
3.Credit Scoring
                Credit Scoring เป็นการประเมินลูกหนี้แต่ละรายด้วยตัวเลข  โดยลูกหนี้แต่ละรายจะได้รับคะแนนจากการตอบคำถามจากแบบสอบถาม  และคะแนนที่ได้นั้นจะนำไปประเมินโดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน  ซึ่งคะแนนที่ได้นั้นจะใช้ตัดสินว่าบริษัทควรให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้รายนั้นหรือไม่
                โดยการกำหนดดัชนีคะแนนสินเชื่อ มีดังนี้
-                     วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การให้คะแนนของการผิดนัดชำระหนี้ของคำถามแต่ละข้อ
-                     วิธีที่ยากที่สุด คือ Multiple Discriminate (MDA)
4.การจัดเก็บหนี้ (Collection Efforts)
                กล่าวคือ ทุกบริษัทพยายามลดจำนวนลูกหนี้ที่ค้างชำระให้น้อยที่สุด  โดยการติดตามเก็บหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ  ซึ่งการที่จะทราบได้ว่าบริษัทมีความสามารถในการควบคุมและจัดเก็บลูกหนี้ได้ดีเท่าใดนั้น   จะดูได้จากอัตราส่วนระยะเวลาการจัดเก็บเงิน หรืออัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้  ซึ่งอยู่ในการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
5.การแยกอายุลูกหนี้
                เป็นเทคนิคการแบ่งลูกหนี้ออกเป็นกลุ่มๆตามอายุของลูกหนี้
การวิเคราะห์การเปลี่ยนนโยบายการให้สินเชื่อ
การเปลี่ยนแปลงนโยบายการให้สินเชื่อจะมีผลโดยตรงต่อผลได้ผลเสียระหว่างต้นทุนและผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับ  โดยการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงนี้จะใช้หลักเกณฑ์การวิเคราะห์ส่วนเพิ่ม (marginal analysis) ซึ่งก็คือ การเปรียบเทียบระหว่างรายได้ส่วนเพิ่มกับค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม  โดยทั่วไปการวิเคราะห์นี้จะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง  3 ประการ คือ
1.การเปลี่ยนแปลงความสามารถการชำระหนี้ของลูกหนี้
2.การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการจัดเก็บหนี้
3.การเปลี่ยนแปลงในเงื่อนไขการให้ส่วนลดเงินสด
การคำนวณการวิเคราะห์การเปลี่ยนนโยบายการให้สินเชื่อ
การคำนวณจะมีขั้นตอน 4 ขั้นตอน ดังนี้
   ขั้นตอนที่ 1 : ประมาณการเปลี่ยนแปลงในกำไร
   ขั้นตอนที่ 2 : ประมาณการต้นทุนส่วนเพิ่มในการลงทุนในลูกหนี้และสินค้า
                       คงเหลือ
  ขั้นตอนที่ 3 : ประมาณการต้นทุนของส่วนลดเงินสดที่ให้แก่ลูกหนี้ (ถ้ามีการ
                      การเปลี่ยนแปลงการให้ส่วนลดเงินสด)
  ขั้นตอนที่ 4 : เปรียบเทียบรายได้ส่วนเพิ่มกับค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม
การจัดการสินค้าคงเหลือ (Inventory Management)
สินค้าคงเหลือประกอบด้วย  วัตถุดิบ , สินค้าระหว่างผลิต  และ สินค้าสำเร็จรูป  ซึ่งความสำคัญของการจัดการสินค้าคงเหลือจะขึ้นอยู่กับระดับการลงทุนในสินค้าคงเหลือของบริษัท  โดยการลงทุนที่มากหรือน้อยเกินไปจะส่งผลต่อสภาพคล่องของบริษัท คือ
     -  การลงทุนในสินค้าคงเหลือน้อยเกินไป  บริษัทขาดสภาพคล่อง  ส่งผลให้มีสินค้าไม่พอขาย
     - การลงทุนในสินค้าคงเหลือมากเกินไป  บริษัทมีสภาพคล่องมากไป ส่งผลให้สินค้าคงเหลือมีมาก  ซึ่งเป็นเหตุให้สินค้าล้าสมัยได้
                โดยวัตถุประสงค์ของการจัดการสินค้าคงเหลือนั้น เพื่อทำให้การดำเนินงานของบริษัทเป็นไปอย่างต่อเนื่อง 
เทคนิคการจัดการสินค้าคงเหลือ
การจัดการสินค้าคงเหลือที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการควบคุมการลงทุนในสินค้าคงเหลือที่ดี  ซึ่งจะมีเทคนิคอยู่ 2 ประการ ได้แก่
                     ปริมาณการสั่งซื้อสินค้า
                    จุดสั่งซื้อสินค้า      


ปริมาณการสั่งซื้อสินค้า
ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจะเกี่ยวกับการกำหนดปริมาณที่เหมาะสมในการสั่งซื้อสินค้าคงเหลือให้เพียงพอต่อความต้องการที่คาดว่าจะต้องใช้สินค้านั้น  ซึ่งมีเทคนิคในการหาเรียกว่า ปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด (Economic Order Quantity)” หรือ EOQ ซึ่งสามารถหาได้จาก
ต้นทุนสินค้าคงเหลือรวม = ต้นทุนในการเก็บรักษารวม + ต้นทุนในการสั่งซื้อสินค้ารวม
-ต้นทุนในการเก็บรักษารวม


โดยที่  Q = ปริมาณสินค้าที่สั่งซื้อ
           C = ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าต่อหน่วย
-ต้นทุนการสั่งซื้อสินค้ารวม




โดยที่  S = ความต้องการสินค้ารวมตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง            
          O = ค่าใช้จ่ายการสั่งซื้อสินค้าต่อครั้ง
ดังนั้น


เพราะฉะนั้น ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าที่ประหยัดที่สุด หรือ EOQ คือ





ข้อสมมติฐานของแบบจำลอง EOQ
-ความต้องการสินค้าจะต้องคงที่และแน่นอนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
-ราคาสินค้าขายต่อหน่วยจะต้องคงที่
-ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาต่อหน่วยคงที่
-ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อสินค้าต่อครั้งจะต้องคงที่
-การส่งมอบสินค้าจะต้องกระทำทันที
-สินค้าที่สั่งซื้อในแต่ละครั้งจะต้องเป็นสินค้าหนึ่งชนิดเท่านั้น
 จุดสั่งซื้อสินค้า (Reorder Point)
จุดสั่งซื้อสินค้าจะเกี่ยวข้องกับการมีสินค้าสำรองเพื่อความปลอดภัยของบริษัท ซึ่งบริษัทจะต้องคำนวณต่อไปว่าจุดสั่งซื้อสินค้าที่เหมาะสมควรจะเป็นเมื่อใด  โดยปัจจัย 2 ประการที่จะกำหนดจุดสั่งซื้อที่เหมาะสม ได้แก่
                -  ระดับสินค้าในช่วงระยะเวลาการสั่งซื้อและรับสินค้า
                -  จำนวนสินค้าเพื่อความปลอดภัยที่ต้องการ
 จุดสั่งซื้อสินค้าสามารถคำนวณได้จากสูตร




โดยที่ ROP = จุดสั่งซื้อสินค้า
        LT = ระยะเวลาการสั่งซื้อสินค้าและรับสินค้า
         d = อัตราการใช้หรือขายสินค้าในช่วงเวลาหนึ่ง
        SS = สินค้าสำรองเพื่อความปลอดภัย







แบบฝึกหัด
1.ปัจจัยที่กำหนดขนาดของการลงทุนในลูกหนี้ มีอะไรบ้าง
ตอบ    เปอร์เซ็นต์ของการขายเชื่อ , ระดับของยอดขาย , นโยบายสินเชื่อและการจัดเก็บเงิน
2.ถ้าบริษัทมีอัตราส่วนการขายเชื่อสูง จะทำให้มีลูกหนี้เป็นอย่างไร
ตอบ จะทำให้มีลูกหนี้สูงตามไปด้วย
3.ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ตอบ  1. เงื่อนไขการขาย
         2. ประเภทของลูกค้า
                         3. Credit Scoring
                         4. การจัดเก็บหนี้
                        5.การแยกอายุลูกหนี้
                 4.การวิเคราะห์การเปลี่ยนนโยบายการให้สินเชื่อมีกี่ประการ อะไรบ้าง
               ตอบ  1.การเปลี่ยนแปลงความสามารถการชำระหนี้ของลูกหนี้
                        2.การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการจัดเก็บหนี้
                        3.การเปลี่ยนแปลงในเงื่อนไขการให้ส่วนลดเงินสด
                 5. ปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด (Economic Order Quantity)” หรือ EOQ ซึ่งสามารถหาได้จากไหน
               ตอบ  ต้นทุนสินค้าคงเหลือรวม = ต้นทุนในการเก็บรักษารวม + ต้นทุนในการสั่งซื้อสินค้ารวม







วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บทที่ 4 การประเมินโครงการลงทุน


วิธีการที่ใช้ในการประเมินโครงการลงทุนมี 4 วิธี ดังนี้
ระยะเวลาคืนทุน (Payback period)
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net present value หรือ NPV)
ดัชนีกำไร (Profitability index หรือ PI)
อัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน (Internal rate หรือ IRR)
1.ระยะเวลาคืนทุน คือ ระยะเวลาที่บริษัทจะได้รับจำนวนเงินกลับคืนเท่ากับกระแสเงินสดจ่ายลงทุน  ดังนั้น วิธีนี้จึงเป็นการวัดระยะเวลาคืนทุนของโครงการ  โดยดูว่าโครงการลงทุนจะได้เงินกลับคืนมาช้าเร็วอย่างไร  และเป็นไปตามที่กิจการต้องการหรือไม่
ข้อดี :     การคำนวณระยะเวลาคืนทุนจะทำให้เห็นถึงผลตอบแทนและต้นทุนของโครงการลงทุนที่เกิดขึ้นในเวลาที่แท้จริง    
ระยะเวลาคืนทุนง่ายต่อการทำความเข้าใจและง่ายต่อการคำนวณ
ข้อเสีย : วิธีระยะเวลาคืนทุนจะไม่คำนึงถึงมูลค่าเงินตามเวลา (time value of money)                                                 
วิธีระยะเวลาคืนทุนจะไม่สนใจกระแสเงินสดที่จะได้รับหลังจากคืนทุนแล้ว
วิธีหาระยะเวลาคืนทุน
เกณฑ์ในการตัดสินใจ



กรณีเลือกโครงการเดียว หรือเป็นโครงการทดแทนกันได้จะเลือกโครงการที่คืนทุนเร็วกว่า
1.กรณีเลือกได้ทุกโครงการ ( เงินทุนไม่จำกัด) จะเลือกโครงการที่ระยะเวลาคืนทุนน้อยกว่า เกณฑ์ที่กำหนดไว้


ตัวอย่างการคำนวณระยะเวลาคืนทุน
บริษัท มานะ จำกัด  ทำการพิจารณาโครงการลงทุน  โดยโครงการนั้นต้องใช้กระแสเงินสดจ่ายลงทุนเท่ากับ 150,000 บาท  ซึ่งโครงการจะได้รับกระแสเงินสดส่วนเพิ่มของโครงการลงทุนดังตารางด้านล่าง  อยากทราบว่าบริษัทต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะคืนทุน 
ปีที่
กระแสเงินสดรับหลังภาษี
1
30,000
2
50,000
3
40,000
4
20,000
5
40,000


                                                                                                                                             


 วิธีหา          ระยะเวลาคืนทุน  =  จำนวนปีก่อนคืนทุน  กระแสเงินสดที่เหลือ
       
                                                  = 4 + 10,000/40,000
                                                  = 4.25 ปี หรือ 4 ปี 3 เดือน

 
 









2. มูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการลงทุน คือ มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีหลังภาษีของโครงการลงทุนหักด้วยกระแสเงินสดจ่ายลงทุน  ซึ่งสามารถแสดงได้ดังสมการต่อไปนี้
               




โดย  ACFt =   กระแสเงินสดรับหลังภาษีในระยะเวลา t
                  k   =   อัตราต้นทุนของเงินทุนหรืออัตราผลตอบแทนที่ต้องการ (อัตราคิดลด)
             IO   =   กระแสเงินสดจ่ายลงทุน
               n    =   อายุของโครงการลงทุน
               

หรือ
 
NPV = กระแสเงินสดรับ กระแสเงินสดจ่าย
                มูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการลงทุนเป็นการวัดมูลค่าของโครงการลงทุนในรูปของมูลค่าเงิน ปัจจุบัน  โดยการเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับกับกระแสเงินสดจ่ายของโครงการลงทุน  ซึ่งการตัดสินใจเลือกลงทุนจะพิจารณาดังนี้
                - มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) 0 : ยอมรับโครงการลงทุน
                - มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) < 0 : ไม่ยอมรับโครงการลงทุน
ข้อดี :          วิธีนี้จะสะท้อนให้เห็นเวลาที่แท้จริงของผลตอบแทนที่ได้รับจากโครงการลงทุน
                     วิธีนี้ได้นำแนวคิดเกี่ยวกับมูลค่าเงินตามเวลามาใช้ประกอบการคำนวณ  ซึ่งทำให้ผลที่ได้มีเหตุผลมากยิ่งขึ้น
ข้อเสีย :      วิธีนี้ต้องคำนึงถึงรายละเอียดของการประมาณกระแสเงินสด  ซึ่งอาจมีความผิดพลาดได้ง่ายในการประมาณข้อมูล

2.ดัชนีกำไร หรือ อัตรา ส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน(benefit-cost ratio)  คือ  อัตราส่วนของมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีของโครงการลงทุนต่อกระแสเงินสดจ่ายลงทุน  ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้




โดย ACFt =  กระแสเงินสดรับหลังภาษีในระยะเวลา t
                      k   =   อัตราต้นทุนของเงินทุนหรืออัตราผลตอบแทนที่ต้องการ(อัตราคิดลด)
                IO   =   กระแสเงินสดจ่ายลงทุน
                  n   =   อายุของโครงการลงทุน

                    หรือ                                                IP =     กระแสเงินสดรับ
                                                         กระแสเงินสดจ่าย


การตัดสินใจลงทุนด้วยวิธีนี้จะพิจารณาโครงการลงทุน ดังนี้
-โครงการลงทุนมีค่าดัชนีกำไร PI 1 : ยอมรับโครงการลงทุน
-โครงการลงทุนมีค่าดัชนีกำไร PI < 1 : ไม่ยอมรับโครงการลงทุน
                     ในส่วนข้อดี- ข้อเสียของวิธีนี้จะเหมือนกับข้อดีข้อเสียของวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ เนื่องจากมีวิธีคิดในลักษณะใกล้เคียงกัน





3.อัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน หมายถึง  อัตราคิดลด (discount rate)  ที่จะทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีเท่ากับกระแสเงินสดจ่าย  ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสมการต่อไปนี้



โดย ACFt =  กระแสเงินสดรับหลังภาษีในระยะเวลา t
                IO =   กระแสเงินสดจ่ายลงทุน
               n =   อายุของโครงการลงทุน
           IRR =   อัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน
 การตัดสินใจลงทุนโดยใช้วิธีนี้มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
-โครงการลงทุนมีอัตราผลตอบแทนจากโครงการ IRR อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ (k) : ยอมรับโครงการลงทุน
-โครงการลงทุนมีอัตราผลตอบแทนจากโครงการ IRR < อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ (k) : ไม่ยอมรับโครงการลงทุน
ส่วนของข้อดี-ข้อเสียของวิธีนี้จะเหมือนกับวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ(NPV) และวิธีดัชนีกำไร(PI)
การคำนวณ IRR กรณีกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการลงทุนไม่เท่ากัน
            -กรณีนี้จะใช้วิธีการลองผิดลองถูก (a trial-and-error) เพื่อที่จะให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีของโครงการลงทุนเท่ากับกระแสเงินสดจ่าย ซึ่งจะมีหลักการในการทดลองดังนี้
               -ถ้าอัตราลดค่า(k)ที่ทดลอง เมื่อคำนวณแล้วค่าที่ได้สูงกว่ากระแสเงินสดจ่ายลงทุน แสดงว่าอัตราคิดลดที่ลองแทนค่า                              นั้นมีค่าต่ำไป  ต้องเพิ่มอัตราลดค่าให้สูงกว่าเดิม
-ถ้าอัตราลดค่า(k)ที่ทดลอง เมื่อคำนวณแล้วค่าที่ได้ต่ำกว่ากระแสเงินสดจ่ายลงทุน แสดงว่าอัตราคิดลดที่ลองแทนนั้น
มีค่าสูงไป  ต้องเพิ่มอัตราลดค่าให้ต่ำกว่าเดิม



ความสัมพันธ์ระหว่าง NPV กับ IRR
                 การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง NPV กับ IRR มีวิธีง่ายที่สุดโดยการดูภาพที่เรียกว่า net present value profile โดยการเขียน net present value profile ของโครงการลงทุนนั้น  จะต้องกำหนดมูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการลงทุนที่ค่าอัตราลดค่า(IRR)เท่ากับ 0 เปอร์เซ็นต์  และหลังจากนั้นค่อยๆเพิ่มอัตราลดค่าขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งได้เส้นโค้งที่แสดงลงในกราฟ  โดยอัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน(IRR) คืออัตราลดค่าที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิ(NPV)=0

การตัดสินใจเลือกโครงการลงทุนภายใต้เงินทุนจำกัด
              เนื่องจากการใช้ IRR ในการเลือกโครงการลงทุนภายใต้เงินทุนที่จำกัดนั้นจะมีปัญหาเกิดขึ้น  ฉะนั้นวิธีที่จะตัดสินใจในกรณีนี้จะเป็นวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ(NPV) โดยจะพิจารณาโครงการลงทุนที่มีค่า NPVสูงสุดเป็นหลัก

แบบฝึกหัด
1.บริษัท ยายี จำกัด  ทำการพิจารณาโครงการลงทุน  โดยโครงการนั้นต้องใช้กระแสเงินสดจ่ายลงทุนเท่ากับ 750000 บาท  ซึ่งโครงการจะได้รับกระแสเงินสดส่วนเพิ่มของโครงการลงทุนดังตารางด้านล่าง  อยากทราบว่าบริษัทต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะคืนทุน

ปีที่
กระแสเงินสดรับหลังหักภาษี
1
250000
2
300000
3
350000
4
400000

ตอบ 2.56 ปี  หรือ 2 ปี 7 เดือน


2.วิธีหาระยะเวลาคืนทุนหาอย่างไร

ตอบ  ระยะเวลาคืนทุน = จำนวนปีก่อนคืนทุน + กระแสเงินสดที่เหลือ
                                                                          กระแสเงินสดทั้งปี



3.ถ้าหาค่า NPV ของโครงการ B ได้น้อยกว่า 0 จะยอมรับโครงการ B หรือไม่
ตอบ ไม่
4.ดัชนีกำไร หรือ PI คืออะไร
ตอบ  อัตราส่วนของมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีของโครงการลงทุนต่อกระแสเงินสดจ่ายลงทุน
5.IRR คืออะไร และหมายถึงอะไร

ตอบ คือ อัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน หมายถึง  อัตราคิดลด (discount rate)  ที่จะทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีเท่ากับกระแสเงินสดจ่าย