การจัดการลูกหนี้ (Accounts
Receivable Management)
โดยทั่วไปของบริษัทมักมีวัตถุประสงค์การดำเนินงานเพื่อขายสินค้าหรือบริการ
ซึ่งการขายสินค้าหรือบริการเป็นเงินเชื่อจะทำให้บริษัทมีบัญชีลูกหนี้เพิ่มขึ้น ดังนั้นการขายสินค้าเป็นเงินเชื่อนั้นควรมีวิธีการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพ
ไม่เช่นนั้นอาจทำให้บริษัทเกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องได้ ซึ่งสิ่งนี้จะมีผลต่อมูลค่าของบริษัทด้วย
ขนาดการลงทุนในลูกหนี้
ปัจจัยที่กำหนดขนาดของการลงทุนในลูกหนี้ มีดังนี้
1.
เปอร์เซ็นต์ของการขายเชื่อ
เปอร์เซ็นต์ของการขายเชื่อต่อยอดขายรวมของบริษัทจะมีผลต่อระดับของลูกหนี้
- ถ้าบริษัทมีอัตราส่วนการขายเชื่อสูง
ก็จะทำให้มีลูกหนี้สูงด้วย
- ถ้าบริษัทมีอัตราส่วนการขายเชื่อต่ำ
ก็จะทำให้มีลูกหนี้ต่ำด้วย
ซึ่งทั่วไปแล้วประเภทของการประกอบธุรกิจจะเป็นตัวกำหนดระดับการขายเชื่อของสินค้า
เช่น - ธุรกิจค้าปลีก : มักขายสินค้าเป็นเงินสด ดังนั้นระดับการขายเชื่อจะต่ำ
- ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง : มักมีการขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ
ดังนั้นระดับการขายเชื่อจะสูง
2.ระดับของยอดขาย
ระดับของยอดขายจะเป็นตัวกำหนดขนาดการลงทุนในลูกหนี้ คือ
- ถ้ายอดขายสูง
บริษัทก็จะมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในลูกหนี้สูงตามไปด้วย
- ถ้ายอดขายต่ำ
บริษัทก็จะมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในลูกหนี้ต่ำตามไปด้วย
3.นโยบายสินเชื่อและการจัดเก็บเงิน
นโยบายสินเชื่อและการจัดเก็บเงินมีผลต่อขนาดการลงทุน คือ
-
ถ้าบริษัทมีนโยบายการให้สินเชื่อและการจัดเก็บเงินแบบผ่อนปรน จะทำให้บริษัทมีลูกหนี้สูง
-
ถ้าบริษัทมีนโยบายการให้สินเชื่อและการจัดเก็บเงินแบบเข้มงวด จะทำให้บริษัทมีลูกหนี้ต่ำ
การตัดสินใจเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ จะประกอบด้วย
1.เงื่อนไขการขาย
(Terms of Sale)
เงื่อนไขการขายจะแสดงถึงระยะเวลาการให้ส่วนลดและระยะเวลาการให้สินเชื่อ
โดยในกรณีที่ลูกหนี้ไม่รับส่วนลดเงินสดนั้นจะทำให้ลูกหนี้เกิดต้นทุนขึ้น
2.ประเภทของลูกค้า
(Type of
Customer)
ในการพิจารณาว่าลูกค้าควรได้รับสินเชื่อจากบริษัทหรือไม่นั้น
บริษัทจะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น สภาพคล่อง
และความสามารถในการทำกำไรของลูกหนี้
โดยถ้า
-บริษัทให้สินเชื่อกับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ
ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้จะสูงขึ้น ทำให้เกิดต้นทุนการจัดเก็บหนี้
และต้นทุนการผิดนัดการชำระหนี้สูงด้วย
-บริษัทให้สินเชื่อกับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้จะต่ำขึ้น ทำให้เกิดต้นทุนการจัดเก็บหนี้
และต้นทุนการผิดนัดการชำระหนี้ต่ำด้วย
3.Credit Scoring
Credit
Scoring เป็นการประเมินลูกหนี้แต่ละรายด้วยตัวเลข
โดยลูกหนี้แต่ละรายจะได้รับคะแนนจากการตอบคำถามจากแบบสอบถาม
และคะแนนที่ได้นั้นจะนำไปประเมินโดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน
ซึ่งคะแนนที่ได้นั้นจะใช้ตัดสินว่าบริษัทควรให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้รายนั้นหรือไม่
โดยการกำหนดดัชนีคะแนนสินเชื่อ
มีดังนี้
-
วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การให้คะแนนของการผิดนัดชำระหนี้ของคำถามแต่ละข้อ
-
วิธีที่ยากที่สุด คือ Multiple
Discriminate (MDA)
4.การจัดเก็บหนี้
(Collection
Efforts)
กล่าวคือ
ทุกบริษัทพยายามลดจำนวนลูกหนี้ที่ค้างชำระให้น้อยที่สุด โดยการติดตามเก็บหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งการที่จะทราบได้ว่าบริษัทมีความสามารถในการควบคุมและจัดเก็บลูกหนี้ได้ดีเท่าใดนั้น จะดูได้จากอัตราส่วนระยะเวลาการจัดเก็บเงิน
หรืออัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้
ซึ่งอยู่ในการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
5.การแยกอายุลูกหนี้
เป็นเทคนิคการแบ่งลูกหนี้ออกเป็นกลุ่มๆตามอายุของลูกหนี้
การวิเคราะห์การเปลี่ยนนโยบายการให้สินเชื่อ
การเปลี่ยนแปลงนโยบายการให้สินเชื่อจะมีผลโดยตรงต่อผลได้ผลเสียระหว่างต้นทุนและผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับ
โดยการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงนี้จะใช้หลักเกณฑ์การวิเคราะห์ส่วนเพิ่ม (marginal
analysis) ซึ่งก็คือ การเปรียบเทียบระหว่างรายได้ส่วนเพิ่มกับค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม
โดยทั่วไปการวิเคราะห์นี้จะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง 3 ประการ คือ
1.การเปลี่ยนแปลงความสามารถการชำระหนี้ของลูกหนี้
2.การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการจัดเก็บหนี้
3.การเปลี่ยนแปลงในเงื่อนไขการให้ส่วนลดเงินสด
การคำนวณการวิเคราะห์การเปลี่ยนนโยบายการให้สินเชื่อ
การคำนวณจะมีขั้นตอน 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 : ประมาณการเปลี่ยนแปลงในกำไร
ขั้นตอนที่ 2 : ประมาณการต้นทุนส่วนเพิ่มในการลงทุนในลูกหนี้และสินค้า
คงเหลือ
ขั้นตอนที่ 3 : ประมาณการต้นทุนของส่วนลดเงินสดที่ให้แก่ลูกหนี้
(ถ้ามีการ
การเปลี่ยนแปลงการให้ส่วนลดเงินสด)
ขั้นตอนที่ 4 : เปรียบเทียบรายได้ส่วนเพิ่มกับค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม
การจัดการสินค้าคงเหลือ (Inventory Management)
สินค้าคงเหลือประกอบด้วย
วัตถุดิบ , สินค้าระหว่างผลิต และ
สินค้าสำเร็จรูป ซึ่งความสำคัญของการจัดการสินค้าคงเหลือจะขึ้นอยู่กับระดับการลงทุนในสินค้าคงเหลือของบริษัท
โดยการลงทุนที่มากหรือน้อยเกินไปจะส่งผลต่อสภาพคล่องของบริษัท คือ
- การลงทุนในสินค้าคงเหลือน้อยเกินไป บริษัทขาดสภาพคล่อง ส่งผลให้มีสินค้าไม่พอขาย
- การลงทุนในสินค้าคงเหลือมากเกินไป บริษัทมีสภาพคล่องมากไป
ส่งผลให้สินค้าคงเหลือมีมาก
ซึ่งเป็นเหตุให้สินค้าล้าสมัยได้
โดยวัตถุประสงค์ของการจัดการสินค้าคงเหลือนั้น
เพื่อทำให้การดำเนินงานของบริษัทเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
เทคนิคการจัดการสินค้าคงเหลือ
การจัดการสินค้าคงเหลือที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการควบคุมการลงทุนในสินค้าคงเหลือที่ดี ซึ่งจะมีเทคนิคอยู่ 2 ประการ ได้แก่
•
ปริมาณการสั่งซื้อสินค้า
•
จุดสั่งซื้อสินค้า
ปริมาณการสั่งซื้อสินค้า
ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจะเกี่ยวกับการกำหนดปริมาณที่เหมาะสมในการสั่งซื้อสินค้าคงเหลือให้เพียงพอต่อความต้องการที่คาดว่าจะต้องใช้สินค้านั้น ซึ่งมีเทคนิคในการหาเรียกว่า “ปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด
(Economic Order Quantity)” หรือ EOQ ซึ่งสามารถหาได้จาก
ต้นทุนสินค้าคงเหลือรวม
= ต้นทุนในการเก็บรักษารวม + ต้นทุนในการสั่งซื้อสินค้ารวม
-ต้นทุนในการเก็บรักษารวม
โดยที่ Q = ปริมาณสินค้าที่สั่งซื้อ
C = ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าต่อหน่วย
-ต้นทุนการสั่งซื้อสินค้ารวม
โดยที่ S = ความต้องการสินค้ารวมตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง
O = ค่าใช้จ่ายการสั่งซื้อสินค้าต่อครั้ง
ดังนั้น
เพราะฉะนั้น ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าที่ประหยัดที่สุด หรือ EOQ
คือ
ข้อสมมติฐานของแบบจำลอง EOQ
-ความต้องการสินค้าจะต้องคงที่และแน่นอนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
-ราคาสินค้าขายต่อหน่วยจะต้องคงที่
-ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาต่อหน่วยคงที่
-ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อสินค้าต่อครั้งจะต้องคงที่
-การส่งมอบสินค้าจะต้องกระทำทันที
-สินค้าที่สั่งซื้อในแต่ละครั้งจะต้องเป็นสินค้าหนึ่งชนิดเท่านั้น
จุดสั่งซื้อสินค้า (Reorder Point)
จุดสั่งซื้อสินค้าจะเกี่ยวข้องกับการมีสินค้าสำรองเพื่อความปลอดภัยของบริษัท
ซึ่งบริษัทจะต้องคำนวณต่อไปว่าจุดสั่งซื้อสินค้าที่เหมาะสมควรจะเป็นเมื่อใด โดยปัจจัย 2
ประการที่จะกำหนดจุดสั่งซื้อที่เหมาะสม ได้แก่
- ระดับสินค้าในช่วงระยะเวลาการสั่งซื้อและรับสินค้า
- จำนวนสินค้าเพื่อความปลอดภัยที่ต้องการ
จุดสั่งซื้อสินค้าสามารถคำนวณได้จากสูตร
โดยที่ ROP = จุดสั่งซื้อสินค้า
LT = ระยะเวลาการสั่งซื้อสินค้าและรับสินค้า
d = อัตราการใช้หรือขายสินค้าในช่วงเวลาหนึ่ง
SS = สินค้าสำรองเพื่อความปลอดภัย
แบบฝึกหัด
1.ปัจจัยที่กำหนดขนาดของการลงทุนในลูกหนี้ มีอะไรบ้าง
ตอบ เปอร์เซ็นต์ของการขายเชื่อ , ระดับของยอดขาย
, นโยบายสินเชื่อและการจัดเก็บเงิน
2.ถ้าบริษัทมีอัตราส่วนการขายเชื่อสูง
จะทำให้มีลูกหนี้เป็นอย่างไร
ตอบ จะทำให้มีลูกหนี้สูงตามไปด้วย
3.ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ
ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ตอบ 1. เงื่อนไขการขาย
2. ประเภทของลูกค้า
3. Credit Scoring
4. การจัดเก็บหนี้
5.การแยกอายุลูกหนี้
4.การวิเคราะห์การเปลี่ยนนโยบายการให้สินเชื่อมีกี่ประการ
อะไรบ้าง
ตอบ 1.การเปลี่ยนแปลงความสามารถการชำระหนี้ของลูกหนี้
2.การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการจัดเก็บหนี้
3.การเปลี่ยนแปลงในเงื่อนไขการให้ส่วนลดเงินสด
5.
ปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด
(Economic Order Quantity)” หรือ EOQ ซึ่งสามารถหาได้จากไหน
ตอบ ต้นทุนสินค้าคงเหลือรวม = ต้นทุนในการเก็บรักษารวม
+ ต้นทุนในการสั่งซื้อสินค้ารวม