วิธีการที่ใช้ในการประเมินโครงการลงทุนมี 4 วิธี ดังนี้
ระยะเวลาคืนทุน (Payback
period)
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net
present value หรือ NPV)
ดัชนีกำไร (Profitability
index หรือ PI)
อัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน (Internal
rate หรือ IRR)
1.ระยะเวลาคืนทุน คือ ระยะเวลาที่บริษัทจะได้รับจำนวนเงินกลับคืนเท่ากับกระแสเงินสดจ่ายลงทุน ดังนั้น วิธีนี้จึงเป็นการวัดระยะเวลาคืนทุนของโครงการ โดยดูว่าโครงการลงทุนจะได้เงินกลับคืนมาช้าเร็วอย่างไร และเป็นไปตามที่กิจการต้องการหรือไม่
ข้อดี : การคำนวณระยะเวลาคืนทุนจะทำให้เห็นถึงผลตอบแทนและต้นทุนของโครงการลงทุนที่เกิดขึ้นในเวลาที่แท้จริง
ระยะเวลาคืนทุนง่ายต่อการทำความเข้าใจและง่ายต่อการคำนวณ
ระยะเวลาคืนทุนง่ายต่อการทำความเข้าใจและง่ายต่อการคำนวณ
ข้อเสีย : วิธีระยะเวลาคืนทุนจะไม่คำนึงถึงมูลค่าเงินตามเวลา (time
value of money)
วิธีระยะเวลาคืนทุนจะไม่สนใจกระแสเงินสดที่จะได้รับหลังจากคืนทุนแล้ว
วิธีระยะเวลาคืนทุนจะไม่สนใจกระแสเงินสดที่จะได้รับหลังจากคืนทุนแล้ว
วิธีหาระยะเวลาคืนทุน
เกณฑ์ในการตัดสินใจ
กรณีเลือกโครงการเดียว หรือเป็นโครงการทดแทนกันได้จะเลือกโครงการที่คืนทุนเร็วกว่า
1.กรณีเลือกได้ทุกโครงการ ( เงินทุนไม่จำกัด) จะเลือกโครงการที่ระยะเวลาคืนทุนน้อยกว่า เกณฑ์ที่กำหนดไว้
ตัวอย่างการคำนวณระยะเวลาคืนทุน
บริษัท มานะ จำกัด ทำการพิจารณาโครงการลงทุน โดยโครงการนั้นต้องใช้กระแสเงินสดจ่ายลงทุนเท่ากับ 150,000 บาท ซึ่งโครงการจะได้รับกระแสเงินสดส่วนเพิ่มของโครงการลงทุนดังตารางด้านล่าง อยากทราบว่าบริษัทต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะคืนทุน
ปีที่
|
กระแสเงินสดรับหลังภาษี
|
1
|
30,000
|
2
|
50,000
|
3
|
40,000
|
4
|
20,000
|
5
|
40,000
|
วิธีหา ระยะเวลาคืนทุน = จำนวนปีก่อนคืนทุน +
กระแสเงินสดที่เหลือ
= 4 + 10,000/40,000
= 4.25 ปี หรือ 4 ปี 3 เดือน
2. มูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการลงทุน คือ มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีหลังภาษีของโครงการลงทุนหักด้วยกระแสเงินสดจ่ายลงทุน ซึ่งสามารถแสดงได้ดังสมการต่อไปนี้
โดย ACFt = กระแสเงินสดรับหลังภาษีในระยะเวลา t
k = อัตราต้นทุนของเงินทุนหรืออัตราผลตอบแทนที่ต้องการ
(อัตราคิดลด)
IO = กระแสเงินสดจ่ายลงทุน
n
= อายุของโครงการลงทุน
|
NPV = กระแสเงินสดรับ
– กระแสเงินสดจ่าย
มูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการลงทุนเป็นการวัดมูลค่าของโครงการลงทุนในรูปของมูลค่าเงิน ณ ปัจจุบัน โดยการเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับกับกระแสเงินสดจ่ายของโครงการลงทุน ซึ่งการตัดสินใจเลือกลงทุนจะพิจารณาดังนี้
- มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ≥ 0 :
ยอมรับโครงการลงทุน
- มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) < 0 :
ไม่ยอมรับโครงการลงทุน
ข้อดี : วิธีนี้จะสะท้อนให้เห็นเวลาที่แท้จริงของผลตอบแทนที่ได้รับจากโครงการลงทุน
วิธีนี้ได้นำแนวคิดเกี่ยวกับมูลค่าเงินตามเวลามาใช้ประกอบการคำนวณ ซึ่งทำให้ผลที่ได้มีเหตุผลมากยิ่งขึ้น
ข้อเสีย : วิธีนี้ต้องคำนึงถึงรายละเอียดของการประมาณกระแสเงินสด ซึ่งอาจมีความผิดพลาดได้ง่ายในการประมาณข้อมูล
2.ดัชนีกำไร หรือ อัตรา ส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน(benefit-cost
ratio) คือ อัตราส่วนของมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีของโครงการลงทุนต่อกระแสเงินสดจ่ายลงทุน ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้
โดย ACFt = กระแสเงินสดรับหลังภาษีในระยะเวลา t
k = อัตราต้นทุนของเงินทุนหรืออัตราผลตอบแทนที่ต้องการ(อัตราคิดลด)
การตัดสินใจลงทุนด้วยวิธีนี้จะพิจารณาโครงการลงทุน ดังนี้
-โครงการลงทุนมีค่าดัชนีกำไร PI
≥ 1 : ยอมรับโครงการลงทุน
-โครงการลงทุนมีค่าดัชนีกำไร PI
< 1 : ไม่ยอมรับโครงการลงทุน
ในส่วนข้อดี- ข้อเสียของวิธีนี้จะเหมือนกับข้อดีข้อเสียของวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ เนื่องจากมีวิธีคิดในลักษณะใกล้เคียงกัน
3.อัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน หมายถึง อัตราคิดลด (discount
rate) ที่จะทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีเท่ากับกระแสเงินสดจ่าย ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสมการต่อไปนี้
โดย ACFt = กระแสเงินสดรับหลังภาษีในระยะเวลา t
IO = กระแสเงินสดจ่ายลงทุน
n = อายุของโครงการลงทุน
IRR = อัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน
การตัดสินใจลงทุนโดยใช้วิธีนี้มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
-โครงการลงทุนมีอัตราผลตอบแทนจากโครงการ IRR
≥ อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ (k) :
ยอมรับโครงการลงทุน
-โครงการลงทุนมีอัตราผลตอบแทนจากโครงการ IRR
< อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ (k)
: ไม่ยอมรับโครงการลงทุน
ส่วนของข้อดี-ข้อเสียของวิธีนี้จะเหมือนกับวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ(NPV) และวิธีดัชนีกำไร(PI)
การคำนวณ IRR กรณีกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการลงทุนไม่เท่ากัน
-กรณีนี้จะใช้วิธีการลองผิดลองถูก (a
trial-and-error) เพื่อที่จะให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีของโครงการลงทุนเท่ากับกระแสเงินสดจ่าย ซึ่งจะมีหลักการในการทดลองดังนี้
-ถ้าอัตราลดค่า(k)ที่ทดลอง เมื่อคำนวณแล้วค่าที่ได้สูงกว่ากระแสเงินสดจ่ายลงทุน แสดงว่าอัตราคิดลดที่ลองแทนค่า นั้นมีค่าต่ำไป ต้องเพิ่มอัตราลดค่าให้สูงกว่าเดิม
-ถ้าอัตราลดค่า(k)ที่ทดลอง
เมื่อคำนวณแล้วค่าที่ได้ต่ำกว่ากระแสเงินสดจ่ายลงทุน แสดงว่าอัตราคิดลดที่ลองแทนนั้น
มีค่าสูงไป ต้องเพิ่มอัตราลดค่าให้ต่ำกว่าเดิม
ความสัมพันธ์ระหว่าง NPV กับ IRR
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง NPV
กับ IRR มีวิธีง่ายที่สุดโดยการดูภาพที่เรียกว่า net
present value profile โดยการเขียน net present value profile ของโครงการลงทุนนั้น จะต้องกำหนดมูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการลงทุนที่ค่าอัตราลดค่า(IRR)เท่ากับ
0 เปอร์เซ็นต์ และหลังจากนั้นค่อยๆเพิ่มอัตราลดค่าขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งได้เส้นโค้งที่แสดงลงในกราฟ โดยอัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน(IRR) คืออัตราลดค่าที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิ(NPV)=0
การตัดสินใจเลือกโครงการลงทุนภายใต้เงินทุนจำกัด
เนื่องจากการใช้
IRR ในการเลือกโครงการลงทุนภายใต้เงินทุนที่จำกัดนั้นจะมีปัญหาเกิดขึ้น ฉะนั้นวิธีที่จะตัดสินใจในกรณีนี้จะเป็นวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ(NPV) โดยจะพิจารณาโครงการลงทุนที่มีค่า NPVสูงสุดเป็นหลัก
แบบฝึกหัด
1.บริษัท ยายี
จำกัด ทำการพิจารณาโครงการลงทุน โดยโครงการนั้นต้องใช้กระแสเงินสดจ่ายลงทุนเท่ากับ
750000 บาท ซึ่งโครงการจะได้รับกระแสเงินสดส่วนเพิ่มของโครงการลงทุนดังตารางด้านล่าง อยากทราบว่าบริษัทต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะคืนทุน
ปีที่
|
กระแสเงินสดรับหลังหักภาษี
|
1
|
250000
|
2
|
300000
|
3
|
350000
|
4
|
400000
|
ตอบ
2.56
ปี หรือ
2
ปี
7
เดือน
2.วิธีหาระยะเวลาคืนทุนหาอย่างไร
ตอบ ระยะเวลาคืนทุน
=
จำนวนปีก่อนคืนทุน
+
กระแสเงินสดที่เหลือ
กระแสเงินสดทั้งปี
3.ถ้าหาค่า NPV ของโครงการ
B
ได้น้อยกว่า
0
จะยอมรับโครงการ
B
หรือไม่
ตอบ
ไม่
4.ดัชนีกำไร หรือ
PI
คืออะไร
ตอบ อัตราส่วนของมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีของโครงการลงทุนต่อกระแสเงินสดจ่ายลงทุน
5.IRR
คืออะไร
และหมายถึงอะไร
ตอบ
คือ
อัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน หมายถึง อัตราคิดลด (discount
rate) ที่จะทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับหลังภาษีเท่ากับกระแสเงินสดจ่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น